ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การตรวจเลือดดูการทำงานของตับ (Liver function test)

   
     ตับ (liver) เป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งในร่างกายมีหน้าที่ในการกำจัดสารพิษที่อันรายต่อร่างกาย รวมถึงยาต่าง ๆ ที่ร่างกายได้รับส่วนเกินก็จะถูกกำจัดออกโดยตับ นอกจากนั้นตับยังมีหน้าที่ในหลาย ๆ ด้าน ทั้งการสังเคราะห์โปรตีน เอนไซม์ หรือไขมัน

     การตรวจการทำงานของตับ หรือ Liver function test คือการตรวจเพื่อ ตรวจวินิจฉัย ประเมิณ หรือติดตามการรักษาโรคตับ (liver diseases) หรือการอักเสบของเนื้อเยื่อตับจากปัจจัยต่างๆ เช่น ไวรัสตับอักเสบ พิษสุราเรื้อรัง และการได้รับยาอย่างต่อเนื่องในปริมาณมาก ๆ ซึ่งการตรวจก็สามารถตรวจได้จากเจาะเลือดตรวจสารบ่งชี้ความผิดปกติ เพื่อประเมิณเบื้องต้นได้ โดยในการตรวจกลุ่มนี้ก็จะประกอบด้วยสารบ่งชี้หลายชนิดด้วยกัน ได้แก่

1. Alanine aminotransferase (ALT)
      ALT หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Serum Glutamic Pyruvic Transaminase (SGPT) เป็นเอนไซม์ตัวหลักที่พบได้ในตับ ดังนั้นเมื่อเกิดความผิดปกติของตับจึงทำให้สามารถตรวจพบ ALT สูงขึ้นมากกว่าปกติในเลือดได้ และ ALT ถือเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีสำหรับการตรวจประเมิณการอักเสบของตับ (hepatitis)

      ค่าปกติ : 0 - 48 U/L
      ค่าสูง พบใน โรคตับ หรือ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B virus) จะสูงถึง 40 เท่า

2. Aspartate aminotransferase (AST)
       AST หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Serum Glutamic Oxalocetic Transaminase (SGOT) เป็นเอนไซม์ที่พบได้ในตับเช่นเดียวกับ ALT แต่ AST มีความจำเพาะต่อตับน้อยกว่า ALT เนื่องมาจาก AST เป็นเอนไซม์ที่ยังสามารถพบได้ในอวัยวะอื่น ๆ ได้เช่นกัน เช่น หัวใจ หรือกล้ามเนื่อลาย โดยปกติมักตรวจคู่กับ ALT เพื่อประเมิณการทำงานของตับเบื้องต้น

      ค่าปกติ: 0 - 42 U/L
      ค่าสูง พบใน ภายหลังภาวะ Heart Attack , โรคตับ, โรคการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ


3. Alkaline phosphatase (ALP)
      ALP เป็นเอนไซม์ที่พบได้มากในเซลล์เยื่อบุผิวของท่อน้ำดีที่อยู่ในตับ ดังนั้นเมื่อเกิดการอุดตันท่อน้ำดีก็จะทำให้เกิดการอักเสบเซลล์เยื่อบุผิวของท่อน้ำดีและทำให้ ALP นั้นถูกปล่อยออกมามากทำให้เราสามารถตรวจพบ ALP เพิ่มสูงขึ้นในกระแสเลือดได้นั่นเอง อย่างไรก็ตามในกระดูกก็พบว่ามีการสร้าง ALP ออกมาได้เช่นกัน

      ค่าปกติ : 20 - 125 U/L     ค่าสูง  เป็นตัวบ่งชี้ถึงภาวะการอุดตันของท่อน้ำดี 
     ค่าต่ำ  เป็นตัวบ่งชี้ถึงภาวะขาดโปรตีน ขาดอาหาร ขาดวิตามิน

4. Albumin     albumin เป็นโปรตีนส่วนใหญ่ที่พบในกระแสเลือด ถูกสร้างมาจากตับ โดยปกติแล้ว albumin ทำหน้าที่เป็นตัวควบคุมแรงดันออสโมติกของเลือด และทำหน้าที่เป็นโปรตีนตัวพา (carrier) ของสารโมเลกุลที่ไม่ชอบละลายในน้ำ เช่น steroid hormone ซึ่งจะทำให้ hormone เหล่านั้นละลายในน้ำและไหลไปตามกระแสเลือดสู่อวัยวะเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

     ค่าปกติ: 3.2 - 5.0 g/dl     ค่าต่ำ แสดงถึง ภาวะขาดอาหาร ท้องเสีย ไข้ ติดเชื้อ โรคตับ ขาดสารอาหารประเภทเหล็ก


5. Albumin/Globulin Ratio (A/G ratio)
      A/G ratio เป็นอัตราส่วนของโปรตีน 2 ชนิดที่สำคัญที่อยู่ในเส้นเลือด ได้แก่ Albumin ต่อ Globulin ซึ่งทั้งสองตัวถูกสร้างโดยตับ ดังนั้นเมื่ออัตราส่วนของทั้งสองโปรตีนผิดปกติไปบ่งบอกถึงภาวะการทำงานของตับผิดปกติได้ หรือภาวะการติดเชื้อบางชนิด บางครั้งก็ตรวจในรายการ total protein (TP) ไปเลยก็ได้ครับ

     ค่าปกติ : 0.8 - 2.0
     ค่าต่ำ พบได้ในโรคที่เกี่ยวข้องกับตับ ไต และการติดเชื้อบางชนิด
     ค่าสูง เกินไปไม่มีความสำคัญมากนัก

6. Bilirubin
     Bilirubin เป็นสารที่เกิดจากขบวนการสลายฮีโมโกลบินของเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุหรือเม็ดเลือดแดงที่แตกสลายจากภาวะบางอย่าง โดยขบวนการนี้เกิดขึ้นที่ม้าม หลังจากนั้น bilirubin จะถูกส่งมาที่ตับและตับจะขับสารนี้ออกจากเลือดทางน้ำดี ซึ่ง bilirubin เป็นตัวบ่งชี้ให้ทราบถึงภาวะการทำงานของตับได้เช่นกัน

     ค่าปกติ : 0 - 1.3 mg/dl
     ค่าสูง การทำงานของตับผิดปกติเช่น ตับอักเสบ ภาวะตับล้มเหลว และท่อน้ำดีอุดตับทำให้ตับไม่สามารถกำจัด bilurubin ออกจากร่างกายได้ หรือภาวะเลือดถูกทำลายมากเกินไปตับไม่สามารถกำจัดออกได้ทันนั่นเอง

     สำหรับการตรวจหลักที่ใช้ทั่วไปในการวินิจฉัยการทำงานของตับด้วยการตรวจทางเลือดก็มีดังที่กล่าวไปข้างต้น แต่อย่างไรก็ตามยังมีการทดสอบอื่น ๆ อีกที่ใช้ในการวินิจฉัย ขึ้นอยู่กับสภาพ และการตัดสินใจของแพทย์ผู้ตรวจครับ สุดท้ายนี้อย่าลืมนะครับว่าผลเลือดที่ได้ควรให้แพทย์ผู้ทำการรักษาแปลผลร่วมกับอาการเพื่อทำการวินิจฉัยถึงสาเหตุของความผิดปกติที่พบในเลือด เราไม่สามารถแปลผลได้เองจากเลือดครับ เพราะอาจผิดพลาดได้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

หลอดใส่เลือดมี่กี่ชนิด (tube เลือดมี่กี่ชนิด)

        หลาย ๆ ท่านอาจสงสัยนะครับว่าเวลามีนัดต้องไปพบแพทย์ และเมื่อถึงเวลาเจาะเลือด ทำไมถึงต้องเก็บเลือดเราไปทีละหลาย ๆ หลอดและในการนัดแต่ละครั้งก็มีการเจาะเลือดไปไม่เหมือนเดิมกับครั้งก่อน วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจกันครับว่าหลอดใส่เลือดแต่ละแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร         ปัจจุบันในทางการแพทย์หลอดสำหรับเก็บตัวอย่างเลือดนั้นถูกพัฒนามาหลายรูปแบบด้วยกัน เพื่อให้มีประสิทธิภาพสำหรับตรวจทางห้องปฏิบัติการรวมถึงระยะในการเก็บรักษาตัวอย่างเลือดให้มีความเหมาะสม และมีประสิทธิภาพสูงสุดตามวัตถุประสงค์ของการตรวจทางห้องปฏิบัติการครับ สำหรับในวันนี้จะพามาทำความรู้จักกับหลอดเลือดพื้นฐานที่ใช้ในการตรวจประจำของโรงพยาบาลโดยทั่วไปครับ  สิ่งที่อยู่ในหลอดเลือดแต่ละสี        สิ่งที่อยู่ข้างในหลอดเลือดสีต่าง ๆ คือ สารเคมีที่ป้องกันการแข็งตัวของเลือด (สารกันเลือดแข็ง) โดยในหลอดแต่ละสีก็จะมีสารกันเลือดแข็งคนละชนิดกันครับ ซึ่งสาเหตุที่ต้องใช้สารกันเลือดแข็งหลายชนิด ไม่สามารถใช้ชนิดเดียว หรือหลอดเดียวสำหรับารตรวจได้ทั้งหมดก็เพราะว่าสารกันเลือดแข็งตัวสามารถที่จะไปรบกวนในขั้นตอนการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏ

การงดน้ำ และอาหารก่อนเจาะเลือดทำอย่างไร

การงดน้ำ และอาหารก่อนเจาะเลือด (Fasting before blood tests)           ในปัจจุบันการตรวจเลือดเป็นวิธีพื้นฐานทางการแพทย์ที่จะใช้ในการวินิจฉัย ประเมิน และติดตามการรักษาโรค   ซึ่งในการตรวจเลือดบางรายการเช่น น้ำตาลและไขมันนั้น สารอาหารที่ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดจะทำให้ค่าการตรวจเลือดผิดพลาดได้ จึงจำเป็นที่จะต้องทำการงดน้ำ และอาหารข้ามคืนก่อนที่จะดำเนินการเจาะเลือดเพื่อตรวจในห้องปฏิบัติการ   โดยคำถามที่มักพบสำหรับผู้ป่วยที่อาจไม่ทราบมาก่อนว่าต้องงดอย่างไร ระยะเวลาเท่าไหร่ ทำไมบางครั้งอดในระยะเวลาที่ไม่เท่ากัน หรือบางครั้งไม่ต้องอดอาหารเลย ซึ่งทั้งหมดมีคำตอบให้ในบทความนี้ครับ           วิธีปฏิบัติสำหรับการงดน้ำ และอาหารก่อนเจาะเลือด           การอด หรืองดอาหาร หมายถึงห้ามกินอาหารชนิดใด ๆ เลย รวมถึงลูกอม น้ำหวาน น้ำผลไม้ กาแฟ และอื่นๆ ที่มีรสชาติ สิ่งเดียวที่สามารถทานได้คือ น้ำเปล่า เท่านั้นครับ เพราะสารอาหารเหล่านี้จะไปรบกวนการตรวจ และอาจทำให้ผลการวิเคราะห์ผิดพลาดไป ส่งผลต่อการวินิจฉัย และการรักษาโดยตรงครับ เพราะฉะนั้นต้องปฏิบัติตามหลักการอย่างถูกต้องนะค

ความแตกต่างระหว่าง Leukemoid Reaction และ Chronic myeloid leukemia (CML)

***แก้ไขหน่วยในภาพ cell/ml เป็น cell/ul Leukemoid Reaction (LR) คือ ภาวะหนึ่งที่ร่างกายมีการสร้างเม็ดเลือดขาวออกมาในปริมาณมาก (>50,000 cell/ul) เพื่อตอบสนองต่อ ภาวะความผิดปกติบางอย่าง เช่นภาวะการติดเชื้ออย่างรุนแรง (severe infection)  เม็ดเลือดขาวที่เพิ่มขึ้นผิดปกติจำนวนมากจะเป็น mature cells  แต่ก็อาจพบเม็ดเลือดขาวระยะตัวอ่อนได้บ้างซึ่งการที่เราพบเม็ดเลือดตัวอ่อนในเลือดจะเรียกว่า Shift to the left  โดยเมื่อส่องดูเสมียร์เลือด (blood smear) ด้วยกล้องจุลทรรศน์แล้วจะพบว่ามีลักษณะที่คล้ายกับโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด Chronic myeloid leukemia (CML) แต่ก็มีลักษณะที่สามารถทำให้แยกออกจากกันได้ครับโดยการวินิจฉัย LR นั้นจะเป็น exclusion criteria ของมะเร็งเม็ดเลือดขาว CML เช่น ความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง เกร็ดเลือด และชนิดของเม็ดเลือดขาวตัวเต็มวัย หรือการเพิ่มขึ้นของค่า  Leukocyte alkaline phosphatase (LAP)  ใน LR Chronic myeloid leukemia (CML) เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวในสาย myeloid ชนิดเรื้องรัง โดยผู้ป่วย CML ส่วนใหญ่มีสาเหตุการเกิดโรคมาจากการกลายพันธ์ (mutation) ชนิด tran