หลาย ๆ ท่านอาจสงสัยนะครับว่าเวลามีนัดต้องไปพบแพทย์ และเมื่อถึงเวลาเจาะเลือด ทำไมถึงต้องเก็บเลือดเราไปทีละหลาย ๆ หลอดและในการนัดแต่ละครั้งก็มีการเจาะเลือดไปไม่เหมือนเดิมกับครั้งก่อน วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจกันครับว่าหลอดใส่เลือดแต่ละแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร
ปัจจุบันในทางการแพทย์หลอดสำหรับเก็บตัวอย่างเลือดนั้นถูกพัฒนามาหลายรูปแบบด้วยกัน เพื่อให้มีประสิทธิภาพสำหรับตรวจทางห้องปฏิบัติการรวมถึงระยะในการเก็บรักษาตัวอย่างเลือดให้มีความเหมาะสม และมีประสิทธิภาพสูงสุดตามวัตถุประสงค์ของการตรวจทางห้องปฏิบัติการครับ สำหรับในวันนี้จะพามาทำความรู้จักกับหลอดเลือดพื้นฐานที่ใช้ในการตรวจประจำของโรงพยาบาลโดยทั่วไปครับ
สิ่งที่อยู่ในหลอดเลือดแต่ละสี
สิ่งที่อยู่ข้างในหลอดเลือดสีต่าง ๆ คือ สารเคมีที่ป้องกันการแข็งตัวของเลือด (สารกันเลือดแข็ง) โดยในหลอดแต่ละสีก็จะมีสารกันเลือดแข็งคนละชนิดกันครับ ซึ่งสาเหตุที่ต้องใช้สารกันเลือดแข็งหลายชนิด ไม่สามารถใช้ชนิดเดียว หรือหลอดเดียวสำหรับารตรวจได้ทั้งหมดก็เพราะว่าสารกันเลือดแข็งตัวสามารถที่จะไปรบกวนในขั้นตอนการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการได้แลัวส่งผลต่อค่าการตรวจวิเคราะห์ได้ โดยแต่ละชนิดก็จะส่งผลต่อการตรวจที่แตกต่างกัน ดังนั้นนักเทคนิคการแพทย์ หรือพยาบาลผู้ทำการเจาะเลือดจึงต้องเก็บสิ่งตัวอย่างให้ถูกต้องตามชนิดการตรวจเพื่อให้การตรวจวิเคราะห์ได้ประสิทธิภาพสูงสุดนั่นเองครับ
ทำไมถึงต้องใช้คนละชนิด
เนื่องมาจากสารกันเลือดแข็งแต่ละชนิดนั้น มีกลไกการป้องกันไม่ให้เลือดแข็งตัวที่แตกต่างกัน ซึ่งสารกันเลือดแข็งมันก็จะรบกวนการตรวจวัดค่าต่าง ๆ ในเลือดแตกต่างกันไป เราจึงต้องเลือกใช้ให้ถูกต้องกับชนิดของการตรวจนั้น ๆ เพื่อป้องกันปัจจัยที่จะส่งผลต่อค่าการวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการทางการแพทย์
แต่ละสีต่างกันอย่างไร
ในหลอดเลือดแต่ละหลอดจะแตกต่างที่สารกันเลือดแข็งตามที่กล่าวไปในตอนแรกนะครับ โดยแต่ละสีใช้สารกันเลือดแข็งดังนี้ครับ (แค่ส่วนหลัก ๆ ที่ใช้ในงานประจำครับ ปัจจุบันมีหลอดเลือดจำนวนมากที่ถูกพัฒนาขึ้นมาครับ ซึ่งถ้าเป็นหลอดพิเศษมักจะมีคู่มือการใช้งานมาด้วยครับ)
- สีแดง สีแดงนั้นสารที่อยู่ข้างในนั้นไม่ใช่สารกันเลือดแข็ง (Anti-coagulant) เหมือนกับเพื่อนๆครับ แต่ในนั้นจะเป็นตัวกระตุ้น หรือ activator ที่ทำให้เลือดเกิดการแข็งตัวได้เร็วยิ่งขึ้น และนักเทคนิคการแพทย์จะนำส่วนที่เป็น serum มาใช้ตรวจในกลุ่มการดูการติดเชื้อไวรัส ตรวจมะเร็ง และฮอร์โมน เป็นตั้น
- สีเขียว ใช้สารกันเลือดแข็งที่มีชื่อว่า heparin ซึ่งมีคุณสมับติในการยับยั้งการทำงาน thrombinIII หรือ anti-thrombinIII (ปัจจัยการแข็งตัวของเลือดตัวหนึ่ง) เหมาะกับการตรวจทางด้านเคมี โดยเฉพาะ เช่น การตรวจอิเล็คโทรไรท์ น้ำตาล ไขมัน และเอนไซม์ต่าง ๆ
- สีม่วง เป็นสารกันเลือดแข็งชนิด EDTA ที่มีคุณสมบัติไปจับกับแคลเซียมเอาไว้ ซึ่งแคลเซียมจำเป็นสำหรับกระบวนการแข็งตัวของเลือดครับ โดยหลอดเลือดชนิดนี้เหมาะกับการตรวจทางด้านโลหิตวิทยา เช่น CBC, ESR และ น้ำตาลสะสม เป็นต้น เพราะ EDTA จะคงรักษาสภาพของเม็ดได้ดี รูปร่างของเม็ดเลือดจึงยังเหมือนเดิมมากที่สุด
- สีฟ้า สารกันเลือดแข็งที่ใช้คือ SODIUM CITRATE ที่จะไปจับกับแคลเซียมเช่นเดียวกับ EDTA แต่ไม่กระตุ้นการทำงานของเกร็ดเลือดซึ่งมีหน้าที่สำคัญในกระบวนการแข็งตัวของเลือดครับ โดยหลอดสีฟ้านี้เหมาะกับการตรวจการแข็งตัวของเลือดเช่น PT aPTT เป็นต้น
- สีเทา ในบางโรงพยาบาลจะมีหลอดทีเทา ที่ใช้ NaF เป็นสารกันเลือดแข็งซึ่ง ตัวนี้จะเหมาะกับการตรวจน้ำตาลมากกว่าตัวอื่นเพราะสามารถคงปริมาณน้ำตาลไม่ได้ลดลงได้นานถึง 8 ชม. แต่ในบางที่จะใช้เป็น heparin tube แทนหลอด NaF เพราะ heparin tube ก็สามารถคงสภาพได้เชนกันเพียงแต่ต้องทำการตรวจภาพใน 3 ชั่วโมงครับ
ในผู้ป่วยบางราย หรือเด็กทารกแรกเกิด ที่ไม่สามารถเจาะเลือดได้ตามปริมานที่เพียงพอต่ออัตราส่วนของสารกันเลือดแข็ง เราต้องเลือดใช้หลอดเลือดที่มีขนาดเล็กลงมาตามภาพครับ และนอกจากหลอดเลือดชนิดข้างต้นเป็นหลอดเลือดที่ใช้ทั่วไปครับ ยังมีหลอดเลือดอีกหลากหลายชนิดที่ถูกพัฒนาขึ้นมาตามจุดประสงค์ของการใช้งาน หรือการตรวจชนิดพิเศษอีกมากมายครับ
#หลอดใส่เลือด#tube เลือดมีกี่ชนิด#tube เลือดมีกี่ชนิด#เทคนิคการแพทย์#
#หลอดใส่เลือด#tube เลือดมีกี่ชนิด#tube เลือดมีกี่ชนิด#เทคนิคการแพทย์#
#หลอดใส่เลือด#tube เลือดมีกี่ชนิด#tube เลือดมีกี่ชนิด#เทคนิคการแพทย์#
#หลอดใส่เลือด#tube เลือดมีกี่ชนิด#tube เลือดมีกี่ชนิด#เทคนิคการแพทย์#
#หลอดใส่เลือด#tube เลือดมีกี่ชนิด#tube เลือดมีกี่ชนิด#เทคนิคการแพทย์#
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น