ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การฟอกไตสำหรับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง มีกี่วิธี?

การฟอกไตมีกี่วิธี? ทำแบบไหนดีกว่ากัน? ค่าใช้จ่ายในการฟอกไต?


       การฟอกไต หรือการฟอกของเสียออกจากเลือดในผู้ป่วยที่มีภาวะการทำของไตเสื่อมสรรถภาพทั้งแบบเฉียบพลัน และเรื้อรัง ซื้อการฟอกไตสามารถทำได้หลายวิธีด้วยกันไม่ว่าจะเป็นการฟอกผ่านเส้นเลือด หรือผ่านทางช่องท้อง สำหรับคนที่มีคนในครอบครัวเป็นผู้ป่วยโรคไตที่กำลังจะต้องรับการรักษาโรคไตเรื้อรังคงกำลังมองหาวิธี ผลการรักษา และความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการฟอกไต วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับวิธีการฟอกไต 2 วิธีหลัก ๆ ที่ใช้กันแพร่หลายในปัจจุบันกันครับ

การฟอกไต คืออะไร? 
      การฟอกไตคือ การนำเอาของเสียต่าง ๆ และน้ำส่วนเกินที่สะสมในร่างกาย ที่เกิดจากภาวะไตวายจนไม่สามารถกำจัดออกออกเสียเหล่านั้นออกไปได้ ซึ่งเมื่อผู้ป่วยได้รับการฟอกไตแล้วก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ เพียงแต่ต้องทำการฟอกไตเพื่อทดแทนการทำงานของไตอยู่เป็นประจำครับ
   

การฟอกไตมีกี่วิธี?
      ปัจจุบันวิธีการฟอกไตที่ใช้ทั่วไปในโรงพยาบาลของประเทศไทยจะมี 2 วิธีดังนี้ครับ
            การฟอกผ่านทางช่องท้องแบบถาวร  Continuous Ambulatory Peritoneal Dialysis (CAPD) 
                 

        เป็นการฟอกไตทางช่องท้องโดยใช้น้ำยาสำหรับฟอกไตที่เราจะใส่เข้าไปทางช่องท้องผ่านทางสายท่อครับ โดยผู้ป่วยจะต้องฝังท่อไว้ที่ช่องท้องตลอดเวลา และน้ำยาที่เราใส่เข้าไปนั้นก็จะทำการแลกเปลี่ยนของเสียกับสารในน้ำยาฟอกไต เพื่อดึงเอาของเสียจากร่างกาย จากนั้นเราก็ทำการเปลี่ยนน้ำยาในระหว่างวันครับ ซึ่งจะทำวนอย่างงี้ไปเรื่อย ๆ ครับ  วิธีนี้ใช้เวลาครั้งละประมาน 6 ชั่วโมงครับ 
            ข้อดี : สะดวก ผู้ป่วยสามารถทำที่บ้านได้ไม่เสียเวลาเดินทาง และที่สำคัญ ฟรี! เพราะรัฐมีงบประมาณให้สำหรับวิธีนี้เท่านั้นนะครับ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยหรือญาติต้องผ่านการอบรมวิธีการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก่อนครับ
            ข้อเสีย : มีโอกาสติดเชื้อง่ายได้ง่าย จากการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง และไม่สะอาด เพราะเราต่อท่อไว้ตลอดถ้าไม่รักษาความสะอาดดี ๆ อาจจะทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อได้ครับ เราหรือญาติของผู้ป่วยต้องเรียนรู้วิธีการใช้งาน และรักษาความสะอาดจากทางโรงพยาบาลและปฏิบัติตามอย่างเคร่งคลัด

           การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (hemodialysis)



            วิธีนี้เป็นการนำของเสีย และน้ำส่วนเกินออกจากเส้นเลือดดำ โดยผ่านตัวกรองที่อยู่ในเครื่องฟอกเลือด ซึ่งการทำงานของเครื่องคือการดึงเอาเลือดออกมาผ่านตัวกรองของเสียจนกลายเป็นเลือดดีจากนั้นจึงส่งกลับเข้ามาในร่างกายของเราครับ วิธีนี้ทำเพียง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ต่างจากวิธีแรกที่ต้องทำทุกวัน
            ข้อดี : โอกาสติดเชื้อจากการฟอกน้อยมาก และไม่ต้องทำกาคฟอกทุกวัน
            ข้อเสีย : เสียเวลาเดินทางไปโรงพยาบาล และค่าใช้จ่ายแพงครับ ต่อครั้งประมาณ 1500-2000 บาท สำหรับคนทั่วไปที่มีสามสรถเบิกได้ครับ แต่สำหรับสิทธิข้าราชการ หรือประกันสังคมก็สามารถเบิกได้เช่นกัน

       สำหรับบทความนี้ก็ขอจบไว้เพียงเท่านี้ครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านไม่มากก็น้อยครับ


#การฟอกไต#วิธีการฟอกไต#เทคนิคการแพทย์#ฟอกเลือด#ฟอกไตทางช่องท้อง#
#การฟอกไต#วิธีการฟอกไต#เทคนิคการแพทย์#ฟอกเลือด#ฟอกไตทางช่องท้อง#
#การฟอกไต#วิธีการฟอกไต#เทคนิคการแพทย์#ฟอกเลือด#ฟอกไตทางช่องท้อง#
#การฟอกไต#วิธีการฟอกไต#เทคนิคการแพทย์#ฟอกเลือด#ฟอกไตทางช่องท้อง#
#การฟอกไต#วิธีการฟอกไต#เทคนิคการแพทย์#ฟอกเลือด#ฟอกไตทางช่องท้อง#

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

หลอดใส่เลือดมี่กี่ชนิด (tube เลือดมี่กี่ชนิด)

        หลาย ๆ ท่านอาจสงสัยนะครับว่าเวลามีนัดต้องไปพบแพทย์ และเมื่อถึงเวลาเจาะเลือด ทำไมถึงต้องเก็บเลือดเราไปทีละหลาย ๆ หลอดและในการนัดแต่ละครั้งก็มีการเจาะเลือดไปไม่เหมือนเดิมกับครั้งก่อน วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจกันครับว่าหลอดใส่เลือดแต่ละแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร         ปัจจุบันในทางการแพทย์หลอดสำหรับเก็บตัวอย่างเลือดนั้นถูกพัฒนามาหลายรูปแบบด้วยกัน เพื่อให้มีประสิทธิภาพสำหรับตรวจทางห้องปฏิบัติการรวมถึงระยะในการเก็บรักษาตัวอย่างเลือดให้มีความเหมาะสม และมีประสิทธิภาพสูงสุดตามวัตถุประสงค์ของการตรวจทางห้องปฏิบัติการครับ สำหรับในวันนี้จะพามาทำความรู้จักกับหลอดเลือดพื้นฐานที่ใช้ในการตรวจประจำของโรงพยาบาลโดยทั่วไปครับ  สิ่งที่อยู่ในหลอดเลือดแต่ละสี        สิ่งที่อยู่ข้างในหลอดเลือดสีต่าง ๆ คือ สารเคมีที่ป้องกันการแข็งตัวของเลือด (สารกันเลือดแข็ง) โดยในหลอดแต่ละสีก็จะมีสารกันเลือดแข็งคนละชนิดกันครับ ซึ่งสาเหตุที่ต้องใช้สารกันเลือดแข็งหลายชนิด ไม่สามารถใช้ชนิดเดียว หรือหลอดเดียวสำหรับารตรวจได้ทั้งหมดก็เพราะว่าส...

DNA ตอนที่ 1 : DNA คืออะไร และโครงสร้างของ DNA

สารพันธุกรรม (genetic materials) ห มายถึงสารที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทั้งสิ่งมีชีวิตระดับโปรคาริโอต (prokaryote) และยูคาริโอต (eukaryote) โดยสารพันธุกรรมประกอบด้วย ดีเอ็นเอ (deoxyribonucleic acid หรือ DNA) และอาร์เอ็นเอ (ribonucleic acid หรือ RNA) การเก็บรักษาข้อมูลพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตเกิดจากการเรียงลำดับของหน่อยย่อยที่สุดของ DNA และ RNA อย่างเป็นระเบียบและมีความหมาย ซึ่งหน่อยย่อยของดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอเราเรียกว่า นิวคลีโอไทด์ (nucleotide) สิ่งมีชีวิตจะทำการแปลรหัสข้อมูลนิวคลีโอไทด์เหล่านี้ออกมาเป็นโปรตีนเพื่อทำหน้าที่ต่าง ๆ ของเซลล์หรือร่างกายของสิ่งมีชีวิตต่อไปผ่านการทำงานร่วมกันตั้งแต่ DNA RNA ไปจนถึงขั้นตอนการสั่งเคราะห์โปรตีน อย่างไรก็ตามสิ่งมีชีวิตบางประเภทจะเก็บข้อมูลพื้นฐานของตัวเองในรูปแบบของ RNA เท่านั้น เช่นไวรัสในกลุ่มรีโทรไวรัส หรือที่เรารู้จักกันดีก็คือไวรัสโควิด ภาพที่ 1 แสดงโครงสร้างจำลองของ DNA ที่มาภาพ : http://becuo.com/red-dna-wallpaper   DNA (deoxyribonucleic acid )                  D...

โครงสร้างโปรตีน (Protein structure)

โครงสร้างโปรตีน (Protein structure)             โปรตีนคือสารชีวโมเลกุลขนาดใหญ่และมีโครงสร้างซับซ้อนเกิดจากหน่วยย่อยกรดอะมิโน (amino acid) จำนวนมากตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักพันหน่วยมาต่อกันเกิดเป็นสายยาว (long chains) เรียกว่า polypeptide ซึ่งในสายหรือระหว่างสายของ polypeptide เองก็จะเกิดพันธะทางเคมีขึ้นได้ทำให้โปรตีนมีโครงสร้างที่แตกต่างกันออกไปและทำให้โปรตีนเองมีคุณสมบัติที่หลากหลายและโครงสร้างซับซ้อน             กรดอะมิโนเป็นหน่วยย่อย (monomer) ของโปรตีนซึ่งประกอบไปด้วยกรดอะมิโน 20 ชนิด โครงสร้างของกรดอะมิโนประกอบด้วย หมู่อะมิโน (NH 3 ) หมู่คาร์บอกซิล (COO - ) และหมู่ R หรือ side chain ที่จับอยู่กับ alpha carbon โดยกรดอะมิโนแต่ละชนิดจะมีโครงสร้างเหมือนกันจะแตกต่างกันเพียงแค่หมู่ R เท่านั้น กรดอะมิโนแต่ละตัวจะมีเชื่อมต่อกันโดยพันธะเพปไทด์ (peptide bond) ระหว่างหมู่คาร์บอกซิลและหมู่อะมิโน ดังนั้นสิ่งที่กำหนดคุณสมบัติของโปรตีน หน้าที่ของโปรตีน และโครงสร้างของโปรตีนก็คื...