ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การแปลผลตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count - CBC)

การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count - CBC) เป็นหนึ่งในการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ใช้กันอย่างแพร่หลายเป็นพื้นฐานการตรวจเบื้องต้นเลยทีเดียวครับ โดยผลตรวจ CBC นี้จะถูกนำมาใช้เพื่อประเมินสุขภาพโดยรวมของเรา การคัดกรองภาวะโลหิตจาง การติดเชื้อ และโรคเกี่ยวกับเลือดอื่น ๆ ดังนั้นการแปลผล CBC อย่างถูกต้องจะช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและติดตามอาการของโรคได้อย่างแม่นยำ ในบทความนี้เราจะอธิบายองค์ประกอบหลักของการตรวย CBC และความหมายของค่าที่ตรวจพบกันครับ

องค์ประกอบหลักของการตรวจ CBC และการแปลผล

การตรวจ CBC ประกอบด้วยค่าพื้นฐานหลักที่สำคัญ ได้แก่

1. เม็ดเลือดแดง (Red Blood Cells - RBCs)

เม็ดเลือดแดงมีหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนจากปอดไปยังเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย ค่าที่สำคัญที่ใช้ประเมินเม็ดเลือดแดง ได้แก่:

  • ปริมาณของเม็ดเลือดแดง (RBC count): ค่าปกติในเพศชายประมาณ 4.7-6.1 ล้านเซลล์/ไมโครลิตร และในเพศหญิง 4.2-5.4 ล้านเซลล์/ไมโครลิตร ค่าที่ต่ำอาจบ่งบอกถึงภาวะโลหิตจาง ในขณะที่ค่าที่สูงอาจสัมพันธ์กับภาวะขาดน้ำหรือโรคไขกระดูก

  • ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin - Hgb): เป็นโปรตีนในเม็ดเลือดแดงที่ทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจน ค่าในเพศชายปกติอยู่ที่ 13.8-17.2 g/dL และในเพศหญิง 12.1-15.1 g/dL

  • ฮีมาโทคริต (Hematocrit - Hct): เป็นเปอร์เซ็นต์ของปริมาณเม็ดเลือดแดงต่อปริมาตรเลือดทั้งหมด ค่าในเพศชายปกติอยู่ที่ 40-50% และในเพศหญิง 36-44%

  • ขนาดเฉลี่ยของเม็ดเลือดแดง (Mean Corpuscular Volume - MCV): ใช้บ่งชี้ขนาดของเม็ดเลือดแดง หากสูงกว่าปกติ อาจบ่งบอกภาวะโลหิตจางจากการขาดวิตามินบี 12 หรือโฟเลต หากต่ำกว่าปกติอาจเกิดจากภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก

2. เม็ดเลือดขาว (White Blood Cells - WBCs)

เม็ดเลือดขาวมีบทบาทสำคัญในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยป้องกันและต่อสู้กับการติดเชื้อ ค่า WBC ปกติอยู่ที่ 4,000-11,000 เซลล์/ไมโครลิตร หากสูงกว่าปกติ อาจเกิดจากการติดเชื้อ อักเสบ หรือมะเร็งเม็ดเลือดขาว หากต่ำกว่าปกติ อาจเกิดจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือโรคไขกระดูก

ชนิดของเม็ดเลือดขาวที่สำคัญ ได้แก่:

  • นิวโทรฟิล (Neutrophils): เพิ่มขึ้นในภาวะติดเชื้อแบคทีเรีย

  • ลิมโฟไซต์ (Lymphocytes): เพิ่มขึ้นในภาวะติดเชื้อไวรัสหรือมะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด

  • โมโนไซต์ (Monocytes): เกี่ยวข้องกับการอักเสบเรื้อรัง

  • อีโอซิโนฟิล (Eosinophils): เพิ่มขึ้นในภาวะภูมิแพ้และการติดเชื้อพยาธิ

  • เบโซฟิล (Basophils): เกี่ยวข้องกับภาวะอักเสบและโรคภูมิแพ้

3. เกล็ดเลือด (Platelets)

เกล็ดเลือดมีหน้าที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว ค่าเกล็ดเลือดปกติอยู่ที่ 150,000-450,000 เซลล์/ไมโครลิตร หากต่ำกว่าปกติ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเลือดออกผิดปกติ เช่น โรคไขกระดูก หรือภาวะเกล็ดเลือดต่ำจากภูมิคุ้มกัน หากสูงกว่าปกติ อาจเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน

การประเมินผล CBC ในภาวะโรคต่าง ๆ

  1. ภาวะโลหิตจาง (Anemia): มักพบค่าฮีโมโกลบินและฮีมาโทคริตต่ำ สาเหตุอาจเกิดจากการขาดธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 หรือภาวะเลือดออกเรื้อรัง

  2. การติดเชื้อ (Infections): จำนวนเม็ดเลือดขาวสูงขึ้นโดยเฉพาะนิวโทรฟิลในภาวะติดเชื้อแบคทีเรีย และลิมโฟไซต์ในภาวะติดเชื้อไวรัส

  3. โรคไขกระดูก (Bone Marrow Disorders): เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว มักพบค่าผิดปกติทั้งในเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือด

  4. ภาวะเลือดออกผิดปกติ (Bleeding Disorders): ค่าเกล็ดเลือดต่ำอาจทำให้มีจ้ำเลือดหรือเลือดออกง่าย

สรุป

การตรวจ CBC เป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินสุขภาพและช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยภาวะทางโลหิตวิทยาต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ การแปลผลควรพิจารณาร่วมกับอาการทางคลินิกของผู้ป่วย และในบางกรณีอาจต้องทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการวินิจฉัย หากผลตรวจ CBC ผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแนวทางการรักษาที่เหมาะสม


#แปลผลเลือด #ผลตรวจความสมบูรณ์ของเลือด #การตรวจ CBC

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

หลอดใส่เลือดมี่กี่ชนิด (tube เลือดมี่กี่ชนิด)

        หลาย ๆ ท่านอาจสงสัยนะครับว่าเวลามีนัดต้องไปพบแพทย์ และเมื่อถึงเวลาเจาะเลือด ทำไมถึงต้องเก็บเลือดเราไปทีละหลาย ๆ หลอดและในการนัดแต่ละครั้งก็มีการเจาะเลือดไปไม่เหมือนเดิมกับครั้งก่อน วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจกันครับว่าหลอดใส่เลือดแต่ละแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร         ปัจจุบันในทางการแพทย์หลอดสำหรับเก็บตัวอย่างเลือดนั้นถูกพัฒนามาหลายรูปแบบด้วยกัน เพื่อให้มีประสิทธิภาพสำหรับตรวจทางห้องปฏิบัติการรวมถึงระยะในการเก็บรักษาตัวอย่างเลือดให้มีความเหมาะสม และมีประสิทธิภาพสูงสุดตามวัตถุประสงค์ของการตรวจทางห้องปฏิบัติการครับ สำหรับในวันนี้จะพามาทำความรู้จักกับหลอดเลือดพื้นฐานที่ใช้ในการตรวจประจำของโรงพยาบาลโดยทั่วไปครับ  สิ่งที่อยู่ในหลอดเลือดแต่ละสี        สิ่งที่อยู่ข้างในหลอดเลือดสีต่าง ๆ คือ สารเคมีที่ป้องกันการแข็งตัวของเลือด (สารกันเลือดแข็ง) โดยในหลอดแต่ละสีก็จะมีสารกันเลือดแข็งคนละชนิดกันครับ ซึ่งสาเหตุที่ต้องใช้สารกันเลือดแข็งหลายชนิด ไม่สามารถใช้ชนิดเดียว หรือหลอดเดียวสำหรับารตรวจได้ทั้งหมดก็เพราะว่าส...

DNA ตอนที่ 1 : DNA คืออะไร และโครงสร้างของ DNA

สารพันธุกรรม (genetic materials) ห มายถึงสารที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทั้งสิ่งมีชีวิตระดับโปรคาริโอต (prokaryote) และยูคาริโอต (eukaryote) โดยสารพันธุกรรมประกอบด้วย ดีเอ็นเอ (deoxyribonucleic acid หรือ DNA) และอาร์เอ็นเอ (ribonucleic acid หรือ RNA) การเก็บรักษาข้อมูลพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตเกิดจากการเรียงลำดับของหน่อยย่อยที่สุดของ DNA และ RNA อย่างเป็นระเบียบและมีความหมาย ซึ่งหน่อยย่อยของดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอเราเรียกว่า นิวคลีโอไทด์ (nucleotide) สิ่งมีชีวิตจะทำการแปลรหัสข้อมูลนิวคลีโอไทด์เหล่านี้ออกมาเป็นโปรตีนเพื่อทำหน้าที่ต่าง ๆ ของเซลล์หรือร่างกายของสิ่งมีชีวิตต่อไปผ่านการทำงานร่วมกันตั้งแต่ DNA RNA ไปจนถึงขั้นตอนการสั่งเคราะห์โปรตีน อย่างไรก็ตามสิ่งมีชีวิตบางประเภทจะเก็บข้อมูลพื้นฐานของตัวเองในรูปแบบของ RNA เท่านั้น เช่นไวรัสในกลุ่มรีโทรไวรัส หรือที่เรารู้จักกันดีก็คือไวรัสโควิด ภาพที่ 1 แสดงโครงสร้างจำลองของ DNA ที่มาภาพ : http://becuo.com/red-dna-wallpaper   DNA (deoxyribonucleic acid )                  D...

โครงสร้างโปรตีน (Protein structure)

โครงสร้างโปรตีน (Protein structure)             โปรตีนคือสารชีวโมเลกุลขนาดใหญ่และมีโครงสร้างซับซ้อนเกิดจากหน่วยย่อยกรดอะมิโน (amino acid) จำนวนมากตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักพันหน่วยมาต่อกันเกิดเป็นสายยาว (long chains) เรียกว่า polypeptide ซึ่งในสายหรือระหว่างสายของ polypeptide เองก็จะเกิดพันธะทางเคมีขึ้นได้ทำให้โปรตีนมีโครงสร้างที่แตกต่างกันออกไปและทำให้โปรตีนเองมีคุณสมบัติที่หลากหลายและโครงสร้างซับซ้อน             กรดอะมิโนเป็นหน่วยย่อย (monomer) ของโปรตีนซึ่งประกอบไปด้วยกรดอะมิโน 20 ชนิด โครงสร้างของกรดอะมิโนประกอบด้วย หมู่อะมิโน (NH 3 ) หมู่คาร์บอกซิล (COO - ) และหมู่ R หรือ side chain ที่จับอยู่กับ alpha carbon โดยกรดอะมิโนแต่ละชนิดจะมีโครงสร้างเหมือนกันจะแตกต่างกันเพียงแค่หมู่ R เท่านั้น กรดอะมิโนแต่ละตัวจะมีเชื่อมต่อกันโดยพันธะเพปไทด์ (peptide bond) ระหว่างหมู่คาร์บอกซิลและหมู่อะมิโน ดังนั้นสิ่งที่กำหนดคุณสมบัติของโปรตีน หน้าที่ของโปรตีน และโครงสร้างของโปรตีนก็คื...