ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การตรวจน้ำตาลด้วยการปลายนิ้ว กับการเจาะเส้นเลือดต่างกันอย่างไร (Capillary vs Venous blood glucose)


การเจาะเลือดเพื่อตรวจน้ำตาลเป็นวิธีที่ใช้ในการวินิจฉัย และติดตามผู้ป่วยโรคเบาหวานทั้งคนปกติ และผู้ที่ตั้งครรภ์ ในปัจจุบันการตรวจเราจะพบได้ 2 ลักษณะ ได้แก่การตรวจผ่านการเจาะที่ปลายนิ้วและทราบผลในทันที กับการเจาะเลือดที่เส้นเลือดทั้งข้อพับ และหลังมือ (เจาะใส่หลอดเลือด) ซึ่งหลายคนอาจจะสงสัยว่าทั้งสองวิธีที่นี้ต่างกันอย่างไร วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ 2 วิธีนี้กันครับ

(ในบทความนี้พูดถึงความแตกต่างของการตรวจค่าน้ำตาลผ่านปลายนิ้ว และเส้นเลือดครับ ไม่ได้หมายถึงวิธีการเตรียมตัวเพื่อตรวจเลือด อย่างการกินน้ำตาล การกินอาหาร 2 ชม และเจาะเลือดนะครับ อย่าสับสน)

1. การตรวจค่าน้ำตาลปลายนิ้ว (Capillary blood glucose)

วิธีการ: ใช้เข็มเจาะที่ปลายนิ้วเพื่อเก็บตัวอย่างเลือดจากเส้นเลือดฝอย โดยเลือดจะถูกนำไปวัดด้วยเครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลที่พกพาได้
ข้อดี: ผลรวดเร็ว สามารถทราบผลได้ทันทีหลังจากการเจาะ. ไม่ต้องอดอาหารก่อนตรวจ ทำให้สะดวกสำหรับผู้ป่วย
ข้อจำกัด: ผลอาจมีความคลาดเคลื่อนสูงกว่าการเจาะเลือดจากเส้นเลือด โดยอาจมีความแตกต่างประมาณ 15-20 mg/dL เหมาะสำหรับการติดตามระดับน้ำตาลในชีวิตประจำวัน แต่ไม่เหมาะสำหรับการวินิจฉัยโรคเบาหวานอย่างเป็นทางการ

2. การตรวตค่าน้ำตาลด้วยการเจาะเส้นเลือด (Venous blood glucose)

วิธีการ: เจาะเลือดจากหลอดเลือดดำที่ข้อพับแขนหรือหลังมือ ซึ่งจะถูกส่งไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อวิเคราะห์
ข้อดี: ผลมีความแม่นยำสูงกว่า เนื่องจากเป็นการเก็บตัวอย่างจากหลอดเลือดดำ ซึ่งให้ค่าที่เชื่อถือได้มากกว่า. เหมาะสำหรับการวินิจฉัยโรคเบาหวานและติดตามผลการรักษาอย่างเป็นทางการ
ข้อจำกัด: ใช้เวลานานกว่าในการรอผล เนื่องจากต้องส่งตัวอย่างไปยังห้องปฏิบัติการ ต้องอดอาหารก่อนทำการตรวจเพื่อให้ได้ผลที่แม่นยำที่สุด


การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยวิธี เจาะเลือดปลายนิ้ว และ เจาะเลือดที่ข้อพับแขน มีผลต่อค่าระดับน้ำตาลที่ได้แตกต่างกัน เนื่องจากแหล่งที่มาของตัวอย่างเลือดและวิธีการตรวจที่ใช้

ความแตกต่างของผลตรวจ
1. การเจาะเลือดปลายนิ้ว:
ใช้เลือดจากเส้นเลือดฝอย ซึ่งมีความเข้มข้นของน้ำตาลที่อาจสูงกว่าการเจาะจากหลอดเลือดดำ.
ผลการตรวจมักจะสูงกว่าการเจาะเลือดที่ข้อพับแขน โดยทั่วไปอาจมีค่าต่างกันประมาณ 5-20 mg/dL
เหมาะสำหรับการติดตามระดับน้ำตาลในชีวิตประจำวัน แต่ไม่เหมาะสำหรับการวินิจฉัยโรคเบาหวาน

2. การเจาะเลือดที่ข้อพับแขน:
ใช้เลือดจากหลอดเลือดดำ ซึ่งให้ผลที่แม่นยำกว่าและเป็นมาตรฐานในการวินิจฉัย
ผลการตรวจมักจะต่ำกว่าการเจาะปลายนิ้ว เนื่องจากมีความแตกต่างในปริมาณสารประกอบในเลือด.
เหมาะสำหรับการวินิจฉัยโรคเบาหวานและติดตามผลการรักษาอย่างเป็นทางการ

ข้อควรระวัง
ค่าระดับน้ำตาลที่ได้จากทั้งสองวิธีอาจมีความแตกต่างกัน ดังนั้นในการใช้ข้อมูลเพื่อวินิจฉัยหรือประเมินสุขภาพ ควรยึดผลจากการเจาะเลือดที่ข้อพับแขนเป็นหลัก โดยเฉพาะเมื่อใช้ในการวินิจฉัยโรคเบาหวาน



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

หลอดใส่เลือดมี่กี่ชนิด (tube เลือดมี่กี่ชนิด)

        หลาย ๆ ท่านอาจสงสัยนะครับว่าเวลามีนัดต้องไปพบแพทย์ และเมื่อถึงเวลาเจาะเลือด ทำไมถึงต้องเก็บเลือดเราไปทีละหลาย ๆ หลอดและในการนัดแต่ละครั้งก็มีการเจาะเลือดไปไม่เหมือนเดิมกับครั้งก่อน วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจกันครับว่าหลอดใส่เลือดแต่ละแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร         ปัจจุบันในทางการแพทย์หลอดสำหรับเก็บตัวอย่างเลือดนั้นถูกพัฒนามาหลายรูปแบบด้วยกัน เพื่อให้มีประสิทธิภาพสำหรับตรวจทางห้องปฏิบัติการรวมถึงระยะในการเก็บรักษาตัวอย่างเลือดให้มีความเหมาะสม และมีประสิทธิภาพสูงสุดตามวัตถุประสงค์ของการตรวจทางห้องปฏิบัติการครับ สำหรับในวันนี้จะพามาทำความรู้จักกับหลอดเลือดพื้นฐานที่ใช้ในการตรวจประจำของโรงพยาบาลโดยทั่วไปครับ  สิ่งที่อยู่ในหลอดเลือดแต่ละสี        สิ่งที่อยู่ข้างในหลอดเลือดสีต่าง ๆ คือ สารเคมีที่ป้องกันการแข็งตัวของเลือด (สารกันเลือดแข็ง) โดยในหลอดแต่ละสีก็จะมีสารกันเลือดแข็งคนละชนิดกันครับ ซึ่งสาเหตุที่ต้องใช้สารกันเลือดแข็งหลายชนิด ไม่สามารถใช้ชนิดเดียว หรือหลอดเดียวสำหรับารตรวจได้ทั้งหมดก็เพราะว่าส...

DNA ตอนที่ 1 : DNA คืออะไร และโครงสร้างของ DNA

สารพันธุกรรม (genetic materials) ห มายถึงสารที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทั้งสิ่งมีชีวิตระดับโปรคาริโอต (prokaryote) และยูคาริโอต (eukaryote) โดยสารพันธุกรรมประกอบด้วย ดีเอ็นเอ (deoxyribonucleic acid หรือ DNA) และอาร์เอ็นเอ (ribonucleic acid หรือ RNA) การเก็บรักษาข้อมูลพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตเกิดจากการเรียงลำดับของหน่อยย่อยที่สุดของ DNA และ RNA อย่างเป็นระเบียบและมีความหมาย ซึ่งหน่อยย่อยของดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอเราเรียกว่า นิวคลีโอไทด์ (nucleotide) สิ่งมีชีวิตจะทำการแปลรหัสข้อมูลนิวคลีโอไทด์เหล่านี้ออกมาเป็นโปรตีนเพื่อทำหน้าที่ต่าง ๆ ของเซลล์หรือร่างกายของสิ่งมีชีวิตต่อไปผ่านการทำงานร่วมกันตั้งแต่ DNA RNA ไปจนถึงขั้นตอนการสั่งเคราะห์โปรตีน อย่างไรก็ตามสิ่งมีชีวิตบางประเภทจะเก็บข้อมูลพื้นฐานของตัวเองในรูปแบบของ RNA เท่านั้น เช่นไวรัสในกลุ่มรีโทรไวรัส หรือที่เรารู้จักกันดีก็คือไวรัสโควิด ภาพที่ 1 แสดงโครงสร้างจำลองของ DNA ที่มาภาพ : http://becuo.com/red-dna-wallpaper   DNA (deoxyribonucleic acid )                  D...

ความแตกต่างระหว่าง Leukemoid Reaction และ Chronic myeloid leukemia (CML)

***แก้ไขหน่วยในภาพ cell/ml เป็น cell/ul Leukemoid Reaction (LR) คือ ภาวะหนึ่งที่ร่างกายมีการสร้างเม็ดเลือดขาวออกมาในปริมาณมาก (>50,000 cell/ul) เพื่อตอบสนองต่อ ภาวะความผิดปกติบางอย่าง เช่นภาวะการติดเชื้ออย่างรุนแรง (severe infection)  เม็ดเลือดขาวที่เพิ่มขึ้นผิดปกติจำนวนมากจะเป็น mature cells  แต่ก็อาจพบเม็ดเลือดขาวระยะตัวอ่อนได้บ้างซึ่งการที่เราพบเม็ดเลือดตัวอ่อนในเลือดจะเรียกว่า Shift to the left  โดยเมื่อส่องดูเสมียร์เลือด (blood smear) ด้วยกล้องจุลทรรศน์แล้วจะพบว่ามีลักษณะที่คล้ายกับโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด Chronic myeloid leukemia (CML) แต่ก็มีลักษณะที่สามารถทำให้แยกออกจากกันได้ครับโดยการวินิจฉัย LR นั้นจะเป็น exclusion criteria ของมะเร็งเม็ดเลือดขาว CML เช่น ความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง เกร็ดเลือด และชนิดของเม็ดเลือดขาวตัวเต็มวัย หรือการเพิ่มขึ้นของค่า  Leukocyte alkaline phosphatase (LAP)  ใน LR Chronic myeloid leukemia (CML) เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวในสาย myeloid ชนิดเรื้องรัง โดยผู้ป่วย CML ส่วนใหญ่มีสาเหตุการเกิดโรคมาจากการกลายพั...