การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ (Colorectal Cancer Screening)
มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงเป็นมะเร็งที่พบบ่อยเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศไทย การตรวจคัดกรองมีความสำคัญอย่างยิ่งในการค้นหาโรคตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้
มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง คือ เนื้องอกร้ายที่เกิดจากเซลล์เยื่อบุผนังลำไส้ใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงและเจริญเติบโตผิดปกติ มักเริ่มต้นจากติ่งเนื้อ (polyp) ที่ไม่อันตราย แล้วค่อยๆ พัฒนากลายเป็นมะเร็ง
อาการและอาการแสดง
- อาการเตือนที่ควรพบแพทย์:
- มีเลือดปนในอุจจาระ หรืออุจจาระสีดำ
- การเปลี่ยนแปลงของลักษณะการถ่ายอุจจาระ เช่น ท้องผูกสลับท้องเสีย
- ถ่ายอุจจาระเป็นเส้นเล็กลง
- ปวดท้องเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
- รู้สึกถ่ายอุจจาระไม่สุด
- อาการในระยะต่างๆ:
- ระยะเริ่มแรก: มักไม่มีอาการ
- ระยะกลาง: อาจมีเลือดออกเป็นครั้งคราว ท้องผูกสลับท้องเสีย
- ระยะลุกลาม: ปวดท้องรุนแรง น้ำหนักลด ซีด อ่อนเพลีย
ความสำคัญของการตรวจคัดกรอง
การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้มีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการ:
1. เพื่อตรวจหาริ้วรอยของมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ก่อนที่จะมีอาการ
2. เพื่อค้นหาและกำจัดติ่งเนื้อ (polyp) ซึ่งอาจพัฒนาเป็นมะเร็งในอนาคต
วิธีการตรวจคัดกรองที่สำคัญ
1. การตรวจหาเลือดแฝงในอุจจาระ (Fecal Occult Blood Test: FOBT)
#### สำหรับประชาชนทั่วไป:
- เป็นการตรวจที่ง่าย ไม่เจ็บตัว
- ควรตรวจปีละครั้งในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
- ต้องเก็บตัวอย่างอุจจาระตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
#### สำหรับนักเทคนิคการแพทย์:
- มี 2 วิธีหลัก:
1. guaiac-based FOBT (gFOBT)
2. fecal immunochemical test (FIT)
- FIT มีความจำเพาะต่อ human hemoglobin มากกว่า gFOBT
- ควรควบคุมคุณภาพการตรวจโดยใช้ positive และ negative controls ทุกครั้ง
2. การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy)
สำหรับประชาชนทั่วไป:
- เป็นการตรวจที่ละเอียดที่สุด สามารถมองเห็นความผิดปกติได้โดยตรง
- ต้องเตรียมลำไส้ให้สะอาดก่อนการตรวจ
- แนะนำให้ตรวจทุก 10 ปีในผู้ที่มีความเสี่ยงปกติ
#### สำหรับนักเทคนิคการแพทย์:
- การเตรียมสไลด์จากชิ้นเนื้อที่ได้จากการส่องกล้อง:
- ควรใช้ fixative ที่เหมาะสม
- การย้อม H&E เป็นพื้นฐานสำคัญ
- อาจต้องย้อมพิเศษเพิ่มเติมตามการพิจารณาของพยาธิแพทย์
3. การตรวจ DNA ในอุจจาระ (Stool DNA Testing)
สำหรับประชาชนทั่วไป:
- เป็นการตรวจที่ไม่ต้องเตรียมลำไส้
- มีความแม่นยำสูง แต่มีค่าใช้จ่ายสูง
- แนะนำให้ตรวจทุก 3 ปี
สำหรับนักเทคนิคการแพทย์:
- ใช้เทคนิค PCR ในการตรวจหา DNA mutations
- ต้องควบคุมคุณภาพการสกัด DNA อย่างเข้มงวด
- ควรมีการทำ internal control เพื่อตรวจสอบคุณภาพของตัวอย่าง
การแปลผลและการติดตาม
การแปลผล FOBT:
- ผลบวก: ต้องส่งตรวจด้วยการส่องกล้องต่อ
- ผลลบ: ควรตรวจซ้ำตามกำหนดเวลา
การแปลผลการส่องกล้อง:
- พบติ่งเนื้อ: ตัดส่งตรวจทางพยาธิวิทยา
- ไม่พบความผิดปกติ: ตรวจซ้ำตามกำหนด
คำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับการป้องกัน
- รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่
- ตรวจคัดกรองตามกำหนดเวลาที่แพทย์แนะนำ
สรุป
การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้เป็นกระบวนการสำคัญในการป้องกันและค้นหาโรคระยะเริ่มแรก นักเทคนิคการแพทย์มีบทบาทสำคัญในการควบคุมคุณภาพการตรวจและการพัฒนาวิธีการตรวจให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น