ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Diseases: STDs) คืออะไร

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือเรียกย่อ ๆ ว่า STDs

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Diseases: STDs) หรือที่เรียกกันว่า กามโรค เป็นกลุ่มของโรคที่เกิดจากการติดเชื้อที่สามารถแพร่กระจายได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ เช่น การมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทางทวารหนัก หรือทางปาก โดยเชื้อโรคเหล่านี้อาจเป็นไวรัส แบคทีเรีย หรือปรสิต โรคเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงในการแพร่กระจายและสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

สาเหตุและการแพร่กระจาย

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เกิดจากการติดเชื้อที่สามารถส่งผ่านได้หลายวิธี ได้แก่:

การมีเพศสัมพันธ์: ผ่านการสัมผัสกับของเหลวในร่างกาย เช่น น้ำอสุจิ เลือด หรือของเหลวในช่องคลอด

การใช้เข็มร่วมกัน: โดยเฉพาะในผู้ใช้สารเสพติดที่มักจะไม่คำนึงถึงความปลอดภัย

การส่งต่อจากแม่สู่ลูก: ผ่านการตั้งครรภ์หรือการคลอดบุตร

ประเภทของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

1. ซิฟิลิส: เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum มีระยะฟักตัว 10-90 วัน อาการเริ่มต้นมักเป็นแผลที่อวัยวะเพศ และหากไม่ได้รับการรักษา อาจลุกลามไปยังระบบอื่นๆ ของร่างกาย

2. หนองในแท้: เกิดจากเชื้อ Neisseria gonorrhoeae มีระยะฟักตัว 2-7 วัน อาการหลักคือปัสสาวะแสบขัดและมีหนองไหลออกจากปลายท่อปัสสาวะ

3. หนองในเทียม: เกิดจากเชื้อ Chlamydia trachomatis มีระยะฟักตัวประมาณ 7 วัน อาการคล้ายกับหนองในแท้ แต่บางรายอาจไม่มีอาการ

4. เริม: เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes simplex virus มีระยะฟักตัว 2-14 วัน อาการคือมีตุ่มน้ำใสขึ้นบริเวณอวัยวะเพศและทวารหนัก

5. ไวรัส HPV: สามารถทำให้เกิดหูดหงอนไก่และมะเร็งปากมดลูก โดยมักไม่มีอาการชัดเจนในช่วงแรก

อาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

อาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์แตกต่างกันไปตามประเภทของโรค แต่โดยทั่วไปอาจรวมถึง:

สำหรับผู้หญิง: อาจมีอาการเจ็บปวดบริเวณอวัยวะเพศ มีตกขาวผิดปกติ หรือรู้สึกเจ็บท้องน้อย

สำหรับผู้ชาย: อาจมีอาการปัสสาวะแสบขัด มีหนองไหลออกจากปลายท่อปัสสาวะ หรือรู้สึกเจ็บบริเวณอวัยวะเพศ

การป้องกันและการรักษา

การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถทำได้โดย:

ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์

ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง

ฉีดวัคซีน HPV สำหรับผู้ที่มีอายุ 9-45 ปี

หากสงสัยว่าตนเองติดเชื้อ หรือมีความเสี่ยงควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจและรักษาอย่างเหมาะสม การรักษาส่วนใหญ่สามารถทำให้หายขาดได้หากได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง


https://ddc.moph.go.th/disease_detail.php?d=30

https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/article/view/273468

https://www.cdc.gov/sti/index.html

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

หลอดใส่เลือดมี่กี่ชนิด (tube เลือดมี่กี่ชนิด)

        หลาย ๆ ท่านอาจสงสัยนะครับว่าเวลามีนัดต้องไปพบแพทย์ และเมื่อถึงเวลาเจาะเลือด ทำไมถึงต้องเก็บเลือดเราไปทีละหลาย ๆ หลอดและในการนัดแต่ละครั้งก็มีการเจาะเลือดไปไม่เหมือนเดิมกับครั้งก่อน วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจกันครับว่าหลอดใส่เลือดแต่ละแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร         ปัจจุบันในทางการแพทย์หลอดสำหรับเก็บตัวอย่างเลือดนั้นถูกพัฒนามาหลายรูปแบบด้วยกัน เพื่อให้มีประสิทธิภาพสำหรับตรวจทางห้องปฏิบัติการรวมถึงระยะในการเก็บรักษาตัวอย่างเลือดให้มีความเหมาะสม และมีประสิทธิภาพสูงสุดตามวัตถุประสงค์ของการตรวจทางห้องปฏิบัติการครับ สำหรับในวันนี้จะพามาทำความรู้จักกับหลอดเลือดพื้นฐานที่ใช้ในการตรวจประจำของโรงพยาบาลโดยทั่วไปครับ  สิ่งที่อยู่ในหลอดเลือดแต่ละสี        สิ่งที่อยู่ข้างในหลอดเลือดสีต่าง ๆ คือ สารเคมีที่ป้องกันการแข็งตัวของเลือด (สารกันเลือดแข็ง) โดยในหลอดแต่ละสีก็จะมีสารกันเลือดแข็งคนละชนิดกันครับ ซึ่งสาเหตุที่ต้องใช้สารกันเลือดแข็งหลายชนิด ไม่สามารถใช้ชนิดเดียว หรือหลอดเดียวสำหรับารตรวจได้ทั้งหมดก็เพราะว่าส...

DNA ตอนที่ 1 : DNA คืออะไร และโครงสร้างของ DNA

สารพันธุกรรม (genetic materials) ห มายถึงสารที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทั้งสิ่งมีชีวิตระดับโปรคาริโอต (prokaryote) และยูคาริโอต (eukaryote) โดยสารพันธุกรรมประกอบด้วย ดีเอ็นเอ (deoxyribonucleic acid หรือ DNA) และอาร์เอ็นเอ (ribonucleic acid หรือ RNA) การเก็บรักษาข้อมูลพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตเกิดจากการเรียงลำดับของหน่อยย่อยที่สุดของ DNA และ RNA อย่างเป็นระเบียบและมีความหมาย ซึ่งหน่อยย่อยของดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอเราเรียกว่า นิวคลีโอไทด์ (nucleotide) สิ่งมีชีวิตจะทำการแปลรหัสข้อมูลนิวคลีโอไทด์เหล่านี้ออกมาเป็นโปรตีนเพื่อทำหน้าที่ต่าง ๆ ของเซลล์หรือร่างกายของสิ่งมีชีวิตต่อไปผ่านการทำงานร่วมกันตั้งแต่ DNA RNA ไปจนถึงขั้นตอนการสั่งเคราะห์โปรตีน อย่างไรก็ตามสิ่งมีชีวิตบางประเภทจะเก็บข้อมูลพื้นฐานของตัวเองในรูปแบบของ RNA เท่านั้น เช่นไวรัสในกลุ่มรีโทรไวรัส หรือที่เรารู้จักกันดีก็คือไวรัสโควิด ภาพที่ 1 แสดงโครงสร้างจำลองของ DNA ที่มาภาพ : http://becuo.com/red-dna-wallpaper   DNA (deoxyribonucleic acid )                  D...

โครงสร้างโปรตีน (Protein structure)

โครงสร้างโปรตีน (Protein structure)             โปรตีนคือสารชีวโมเลกุลขนาดใหญ่และมีโครงสร้างซับซ้อนเกิดจากหน่วยย่อยกรดอะมิโน (amino acid) จำนวนมากตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักพันหน่วยมาต่อกันเกิดเป็นสายยาว (long chains) เรียกว่า polypeptide ซึ่งในสายหรือระหว่างสายของ polypeptide เองก็จะเกิดพันธะทางเคมีขึ้นได้ทำให้โปรตีนมีโครงสร้างที่แตกต่างกันออกไปและทำให้โปรตีนเองมีคุณสมบัติที่หลากหลายและโครงสร้างซับซ้อน             กรดอะมิโนเป็นหน่วยย่อย (monomer) ของโปรตีนซึ่งประกอบไปด้วยกรดอะมิโน 20 ชนิด โครงสร้างของกรดอะมิโนประกอบด้วย หมู่อะมิโน (NH 3 ) หมู่คาร์บอกซิล (COO - ) และหมู่ R หรือ side chain ที่จับอยู่กับ alpha carbon โดยกรดอะมิโนแต่ละชนิดจะมีโครงสร้างเหมือนกันจะแตกต่างกันเพียงแค่หมู่ R เท่านั้น กรดอะมิโนแต่ละตัวจะมีเชื่อมต่อกันโดยพันธะเพปไทด์ (peptide bond) ระหว่างหมู่คาร์บอกซิลและหมู่อะมิโน ดังนั้นสิ่งที่กำหนดคุณสมบัติของโปรตีน หน้าที่ของโปรตีน และโครงสร้างของโปรตีนก็คื...